วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

ความหมาย ที่มาและการนำไปใช้ของสำนวนสุภาษิตและคำพังเพย


ชุบมือเปิบ


สำนวน : ชุบมือเปิบ มีความหมายว่า คนที่ไม่ช่วยทำพอถึงเวลา มารับประทาน คนที่ฉวยประโยชน์จากคนอื่น
โดยไม่ลงทุน ลงแรง

ที่มาของสำนวน : ชุบมือเปิบ การกินข้าวด้วยมือก่อนจะกินอาหารจะเอามือ ลงชุบน้ำเพื่อล้างมือให้  

                        สะอาดและไม่ให้ข้าวติดมือ

ตัวอย่างการนำไปใช้ : ฉันตั้งใจกับงานนี้มาก ลงมือทำเองทุกอย่างแต่สุดท้าย แต่สุดท้ายเขาก็มาชุบมือเปิบ

                              เอาไปเป็นผลงานของตัวเองหน้าตาเฉย

ทำนาบนหลังคน


สุภาษิต : ทำนาบทหลังคน หมายความว่า คนที่เห็นแก่ได้ หาผลประโยชน์ใส่ตนเอง โดยใช้วิธีเบียดเบียน

            ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น 

ที่มาของสุภาษิต : ทำนาบนหลังคน มาจากอาชีพการทำนา

ตัวอย่างการนำไปใช้ : เมื่อไหร่พวกนายทุนที่ชอบทำนาบนหลังคนจะหมดไป น่าเห็นใจคนหาเช้ากินค่ำต้อง                                          

                             อยู่ในวังวนหนี้นอกระบบ หาเงินมาได้แต่ละวันก็ต้องเอาไปใช้หนี้ซะหมด เมื่อไหร่จะ

                             ได้ลืมตาอ้าปาก
เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน

สุภาษิต : เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายความว่า การจะทำอะไรก็ตาม ให้รวบรวมทีละเล็กละน้อย แม้จะใช้เวลา
             แต่เมื่อรวมกันแล้วก็จะทำให้งานสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ 
ที่มาของสุภาษิต : “ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน “  คำว่า“เบี้ย”  หมายถึงพวกหอยชนิดหนึ่ง ในสมัยก่อนเรียกว่า
                        “เบี้ยจั่น” ใช้เป็นเงินแลกเปลี่ยนซื้อของได้ แต่มีราคาต่ำ ตามสำนวนคำพังเพยนี้ เป็นการ
                         เก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งมีเบี้ยตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมี
                         การซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ ถึงแม้ว่าเบี้ยจะมีค่า
                         ไม่มากแต่หากเก็บไว้เยอะๆก็มีค่าที่สูงได้
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ใครจะรู้ว่าธุรกิจเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน แบบเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ให้บริการรับชำระค่า
                              สินค้าและบริการ ที่เก็บค่าบริการทีละ 10-15 บาท สุดท้ายจะมีรายได้เป็นกอบ
                              เป็นกำขนาดนี้
ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
สำนวน : ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หมายความว่า มีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ หรือ
            ถึงแม้จะมีความรู้อยู่กับตัวมากมาย แต่ก็ไม่สามารถเอาตัวให้รอดได้ในสถานการณ์นั้น
ที่มาของสำนวน : ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนั้นมาจาก การศึกษา กล่าวถึงคนที่มีความรู้ความสามารถแต่
                        ไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาหรือหาทางออกได้
ตัวอย่างการนำมาใช้ : นี่เธอ ดูผู้ชายคนนั้นซิ เจ้าของบริษัทใหญ่เลยนะ จบเมืองนอกมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะ
                               ล้มละลายได้ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดแท้ๆ
กรวดน้ำคว่ำขัน

ขอบคุณภาพจาก : https://oneblognew.wordpress.com/
สำนวน : กรวดน้ำคว่ำขัน หมายความว่า การตัดขาดความสัมพันธ์ ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย ไม่คบค้าสมาคม
             กันอีกต่อไป อย่าได้มาเจอกันอีก 
ที่มาของสำนวน : เวลาไปทำบุญแล้วกรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศล
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ฉันตัดขาด กรวดน้ำคว่ำขันกับเขาไปแล้ว ขออย่าได้เจอกันอีกเลย คบเป็นเพื่อนกันมา ตั้งนานไว้ใจทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำลายเพื่อนได้ลง
น้ำขึ้นให้รีบตัก
คำพังเพย : น้ำขึ้นให้รีบตัก หมายความว่า เมื่อมีโอกาสดีที่ผ่านเข้ามา ให้รีบฉวยโอกาสอันนี้และเก็บเกี่ยว
                ผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนที่ช่วงเวลาดีๆนี้จะผ่านไป
ที่มาของคำพังเพย : เปรียบเปรยถึงสมัยโบราณที่มีช่วงน้ำขึ้นและน้ำลง หากช่วงน้ำขึ้นก็ให้รีบตักน้ำมาตุนไว้
                            เนื่องจากเวลาน้ำลงจะตักน้ำได้ลำบากกว่า
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ตอนนี้สินค้าของบริษัทเรากำลังเป็นที่นิยม เป็นที่ต้องการของตลาดมาก โอกาสมาถึง
                             แล้วน้ำขึ้นให้รีบตักเพราะฉะนั้น เราต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ เพิ่มกำลังการผลิตสินค้าให้ได้
                             ตามความต้องการของลูกค้า
ดอกไม้ริมทาง

ขอบคุณภาพจาก : https://th.pngtree.com/freepng/hand-painted-flowers-vector-roadside_1852365.html
สำนวน : ดอกไม้ริมทาง หมายความว่า  ผู้หญิงใจง่ายที่ผู้ชายสามารถเกี้ยวพาราสีเอามาเชยชมได้ง่ายๆ ทำ
            ให้ไม่มีความสำคัญ 
ที่มาของสำนวน : ดอกไม่ริมทาง เกิดจากการเปรียบเทียบผู้หญิงกับดอกไม้ ว่ามีความสวยงามเหมือนกัน ทำ
                       ให้คนที่ผ่านเข้ามาต้องหลงเสน่ห์ และอยากได้มาเชยชม
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ผู้ใหญ่มักจะสอนเสมอว่าเป็นผู้หญิงต้องทำตัวให้มีคุณค่า อย่าทำตัวเหมือน
                              ดอกไม้ริมทาง ที่ใครจะมาเด็ดไปเชยชมได้ง่ายๆ
ใจปลาซิว

ขอบคุณภาพจาก : http://aquarium-thailand.blogspot.com/2007/07/blog-post_23.html


สำนวน : ใจปลาซิว หมายความว่า ใจเสาะ ไม่กล้าสู้
ที่มาของสำนวน : ใจปลาซิว มาจาก ขนาดตัวของปลาซิวที่มีขนาดเล็ก เมื่อนำเอาหัวใจมาเปรียบเทียบกับ
                        ขนาดปลาซิวแล้วจึงทำให้ กลายเป็น คนที่ใจเสาะ หรือใจน้อยนั้นเอง
ตัวอย่างการนำไปใช้ : เป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า ให้ทำอะไรก็ ใจปลาซิว ข้าว่าเอ็งไปหากระโปรงมาใส่ดีกว่า
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

ขอบคุณภาพจาก : http://ahlussunnahsadao.blogspot.com/
สุภาษิต : ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง หมายความว่า ตำหนิผู้อื่นเรื่องใดแล้วตนก็กลับทำ ในเรื่องนั้นเสียเอง
ที่มาของสุภาษิต : ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง มาจาก วรรณคดีเรื่องอิเหนา ท้าว กะหมังกุหนิง ยกทัพมา
                        ประชิดเมืองดาหาเพื่อชิงนางบุษบา  อิเหนาก็มาช่วยปราบศึกและเมื่อได้พบ นางบุษบา
                        ก็ลุ่มหลงออกอุบายแต่งทัพปลอม เป็นทัพกะหมังกุหนิงเข้าเผาเมือง แล้วปลอม เป็นจรกา
                        พา นางบุษบา ไปซ่อนไว้ในถ้ำ
ตัวอย่างการนำไปใช้ : เธออย่ามัวแต่ว่าคนอื่นไม่มีน้ำใจเลย ตัวเธอเองก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้นหรอก รู้ตัว หรือเปล่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

สาวไส้ให้กากิน

ขอบคุณภาพจาก : https://tam-i-t.blogspot.com/2014/03/blog-post_9132.html?m=1
คำพังเพย : สาวไส้ให้กากิน หมายความว่า การนำความลับหรือเรื่องเลวร้ายไปบอกให้คนอื่นรู้ ซึ่งไม่ก่อ
               ประโยชน์ให้กับใครแต่ผู้ที่ได้รับฟังกลับได้ล่วงรู้ความลับต่างๆ สำนวนนี้มักจะใช้สื่อถึงการบอกเล่า
     เรื่องราวที่ไม่ดีและมักจะมีคู่กรณีที่ต่างคนต่างแฉกันและกัน
ที่มาของคำพังเพย : เปรียบเปรยถึงการที่สาวไส้ ให้อีกากิน คนที่สาวไส้และถูกสาวไส้ก็ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ
                           มีแต่กาที่อยู่ดีๆก็ได้รับประโยชน์จากคนอื่นที่ทะเลากัน
ตัวอย่างการนำไปใช้ : สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นี้เหมือนสาวไส้ให้กากิน เรื่องพี่น้องทะเลาะกันเพื่อแย่ง
                              สมบัติแบบนี้ พวกคุณควรจะไปคุยกันเองในครอบครัวนะ ไม่ใช่มาพูดป่าวประกาศใน ที่สาธารณะ อายคนอื่นเขาบ้าง
ปิดทองหลังพระ

ขอบคุณภาพจาก : http://www.empika.cs.lru.ac.th/test.html


สำนวน : ปิดทองหลังพระ หมายความว่า การประกอบคุณงามความดี โดยไม่ได้มุ่งหวังจะให้ใครรู้หรือไม่ได้
            ป่าวประกาศให้ผู้อื่นรับรู้หรือต้องการชื่อเสียงและคำสรรเสริญจากผู้อื่น
ที่มาของสำนวน : ทำเนียมการปิดทองคำเปลว ที่พระพุทธรูป เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปิดทองเฉพาะ
                        ด้วยหน้าทำให้ด้านหลังของพระไม่มีการปิดทองจึงนำมาเปรียบเทียบเป็นสำนวน
ตัวอย่างการนำไปใช้ : นี่คุณการทำความดีนั้น ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาให้ใครเขารับรู้หรอก

เหมือนเราปิดทองหลังพระ คนไม่เห็น แต่เราเห็น พระท่านก้สวยงามครบถ้วน ไม่ใช่สวยแต่ด้านหน้า

ขนทรายเข้าวัด
ขนทรายเข้าวัด
ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/8ggXig
สุภาษิต : ขนทรายเข้าวัด หมายความว่า การหาประโยชน์ให้ส่วนรวม
ที่มาของสุภาษิต : ในอดีตวัดส่วนใหญ่มีบริเวณที่เป็นพื้นทราย เมื่อมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญหรือทำกิจ
 ธุระต่างๆ ที่วัด ตอนขากลับอาจจะมีทรายติดเท้าออกนอกวัดไปด้วย  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น
 บาปเป็นหนี้สงฆ์ จึงได้มีประเพณีขนทรายเข้าวัด เพื่อให้ชาวบ้านนำทรายมาคืนวัด จะ
 ได้ไม่ติดหนี้สงฆ์ ซึ่งชื่อประเพณีนี้ก็ได้ถูก
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ลุงดำเป็นคนนึงที่ชอบทำงานเพื่อส่วนรวม อย่างเช่นเมื่อเดือนก่อนลุงดำได้ชักชวน
                              เพื่อนๆมาช่วยกันซ่อมแซมสะพานข้ามลำคลองระหว่างหมู่บ้าน  การกระทำแบบนี้  
                              ตรงกับคำพังเพยไทยที่ว่า ขนทรายเข้าวัด
ทองแผ่นเดียวกัน

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/1zbWB7
สำนวน : ทองแผ่นเดียวกัน หมายความว่า การที่ชายและหญิงแต่งงานกัน ทำให้ครอบครัวสองครอบครัวมี   
            ความแน่นแฟ้นผูกพันกัน
ที่มาของสำนวน : โบราณท่านเปรียบเอาไว้ถึงครอบครัวสองครอบครัวที่มีลูก และลูกของทั้งสองครอบครัว
    แต่งงานกัน จึงถือเสมือนว่าทั้งสองครอบครัวนี้เกี่ยวดองกัน เป็นทองแผ่นเดียวกันนั่นเอง
ตัวอย่างการนำไปใช้ : เมื่อคู่บ่าวสาวที่มาจากสองครอบครับแต่งงานกัน ครอบครัวทั้งสองก็มี่ความเกี่ยวดอง
                               แน่นแฟ้นเป็นทองแผ่นเดียวกัน
แกว่งเท้าหาเสี้ยน

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/acqkhI
สุภาษิต : แกว่งเท้าหาเสี้ยน หมายความว่า คนที่อยู่ดีไม่ว่าดีดันเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทั้งๆที่ไม่
  จำเป็น จนทำให้ตัวเองนั้นได้รับเดือนร้อน
ที่มาของสุภาษิต : เปรียบเปรยถึงการนำเท้าเปล่าของตนเอง ไปแก่วงในพื้นดินจนเท้าตัวเองถูกเสี้ยนตำ
ตัวอย่างการนำไปใช้ : แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีไปช่วยตำรวจจับโจรจนตัวเองต้องโดนลูกหลง
                             เกือบเอาชีวิตไม่รอด
ใกล้เกลือกินด่าง

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/mYpKa4


สำนวน : ใกล้เกลือกินด่าง หมายความว่า การมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งมีคุณค่ามากกว่ากลับไม่สนใจ แต่
             กลับไปเอาสิ่งที่อยู่ไกลหรือหายากและมีคุณค่าน้อยกว่ามาใช้
ที่มาของสำนวน : การหาเกลือหาง่ายกว่าด่าง แต่กลับไปหาด่างมากิน
ตัวอย่างการนำไปใช้ : มัวแต่ไปตระเวนเที่ยวต่างประเทศ เสียเงินตั้งมากมาย สุดท้ายก็ใกล้เกลือกินด่างเมื่อ
                              พบว่าเกาะสวยๆ น้ำทะเลใสๆ อยู่ในประเทศไทยนี่เอง
เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/xSfB1u

สุภาษิต : เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า หมายความว่า ผู้ที่ทำดี หรือสัญญาอะไรไว้แต่แรก จนเป็นที่เชื่อถือแล้ว แต่
            ภายหลังกลับทำความชั่วลบล้างความดีที่ตนได้ทำไว้ หรือไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่แรก
ที่มาของสุภาษิต : ในสำนวนนี้ คนสมัยก่อนได้ นำ ‘ มือ ‘ มาเปรียบเปรยถึงการทำสิ่งที่ดี และ ‘เท้า’ เปรียบ
                         เปรยสิ่งที่ไม่ดี ส่วนคำว่า ‘เขียน’ เป็นตัวแทนของการสร้าง และคำว่า ‘ลบ’ คือการลบ    
                         ล้างหรือทำลาย จึงเกิดเป็นสำนวน ” เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ”
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ไม่คิดเลยว่าคุณจะเขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้าแบบนี้ เราเคยร่วมกันก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้น
มาแต่ตอนนี้กลับมาว่ากล่าวทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง ด้วยฝีมือของคุณเอง
คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/wCvCxD


คำพังเพย : คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม หมายความว่า คนที่เคยมีอำนาจวาสนา หรือร่ำรวยมาก่อน แต่
               ต่อมาพลาดตกต่ำหรือยากจนลง ไม่ควรไปดูถูกหรือเหยียบหยามเขา เนื่องจากในภายภาคหน้า
               เขาอาจจะกอบกู้ฐานะเดิมกลับมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าเป็นไม้ที่ล้มนั้นสามารถข้ามได้เลยปลอดภัย
               เพราะขณะข้ามมันไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาเองได้
ที่มาของคำพังเพย : เปรียบเทียบได้กับคนที่ล้มหากเดินข้ามเค้าอาจลุกขึ้นมาชนกันได้ แต่ถ้าเป็นไม้ล้มมันจะ
                           ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เองในขณะที่เราข้าม ดังจึงปลอดภัยกว่า
ตัวอย่างการนำไปใช้ : แม้ว่าคุณสมหมายอดีตเซียนหุ้นพันล้าน ซึ่งตอนนี้เขาหมดตัวมีหนีสินมากมาย ก็อย่า
                             ไปดูถูกเขา เพราะสักวันเขาอาจจะลุกขึ้นได้ใหม่กลับมาเป็นเซียนหุ้นอีกครั้ง ดัง  
                             สำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม
วัวสันหลังขาด

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/DjdqHX


สุภาษิต : วัวสันหลังขาด หมายความว่า ผู้ที่ทำอะไรผิดไปแล้วมีอาการส่อพิรุธให้เห็น กลัวว่าจะมีคนที่รู้เรื่อง
            มาพูดให้คนอื่นๆรู้เรื่องนี้
ที่มาของสุภาษิต :ปรียบเปรยถึงวัวที่เป็นแผลที่หลัง มักจะมีอีกามาจิกแผล และเมื่อเวลาอีกาบินผ่านวัว
    ก็จะสะดุงตกใจ เพราะกลัวอีกาลงมาจิกที่แผล
ตัวอย่างการนำไปใช้ : เด็กชายสมชายแอบขโมยขนมของคุณครู แล้วนำขนมไปกินหลังห้องเรียน วันต่อมา
                             เมื่อครูเรียกชื่อ เขาก็ตกใจแสดงอาการมีพิรุธออกมา ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า
                             “วัวสันหลังขาด
ถ่านไฟเก่า

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/Q4XdRB


สำนวน : ถ่านไฟเก่า หมายความว่า การที่คู่รักเก่า เมือได้เลิกลากันไป แล้วได้กลับมาพบกันใหม่ ก็มีโอกาสที่
            จะกลับมาคบกันอีกครั้ง เพราะเคยมีความผูกพันกัน
ที่มาของสำนวน : เปรียบเปรยถึงถ่านไฟที่เคยติดไฟแล้วดับลงไป หากได้รับเชื้อไฟอีกครั้งก็จะติดไฟได้ง่าย
                         กว่าถ่านใหม่ที่ยังไม่เคยติดไฟมาก่อน
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ธาดากับอรุณาเคยเป็นแฟนกันมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่ก็มีเหตุให้ต้องเลิกรา
                             แยกทางกัน เมื่อทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะกลับมาคบกันใหม่เพราะ
                             ถ่านไฟเก่ามักติดไฟได้ง่าย
โง่เง่าเต่าตุ่น

ขอบคุณภาพจาก : https://goo.gl/images/DwTD2c


สำนวน : โง่เง่าเต่าตุ่น หมายความว่า โง่ที่สุด ไม่ฉลาด มักใช้ในเชิงต่อว่าคนที่โง่มากๆ
ที่มาของสำนวน : เปรียบเปรยถึงเต่าที่ท่าทางเชื่องช้าต้วมเตี้ยม จึงถูกสื่อไปในทางลบว่าโง่เขลาไม่ทันคนอื่น
   ส่วนตุ่นนั้นเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่แต่ในรู และคำว่า “เต่าตุ่น” เป็นคำที่คล้องจองกัน จึงถูก  
   นำมาประกอบเป็นสำนวนนี้
ตัวอย่างการนำไปใช้ : ตอนเด็กๆลุงฉงนไม่ชอบเรียนหนังสือ ทำให้อ่านหนังสือไม่ออก บวกเลขก็ไม่ถูกทำให้ โดนคนอื่นโกงอยู่บ่อยๆ เพราะถูกมองว่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น รู้ไม่เท่าทันคนอื่น

บรรณานุกรม
กรองแก้ว ฉายสภาวธรรม. (ม.ป.ป.). สารานุกรม ภาษิต คำพังเพย และสำนวนไทย.
กรุงเทพฯ : ต้นธรรมสำนักพิมพ์
ความหมายของสำนวน สุภาษิต คำพังเพย ค้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561,
จาก http://www.thaigoodview.com/library/contest1/thai04/02/suriyothai/1.htm




จัดทำโดย

นายนนทวัฒน์  พินทะ         รหัสนักศึกษา 5941010032
นางสาวอุมาภรณ์  ฤทธิ์มนตรี รหัสนักศึกษา 5941010040

สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น